เชียงใหม่ – เปิดบันทึกที่มา “แกรนด์แคนยอนหางดง เชียงใหม่” ความงามของบ่อดินเก่าที่ซ่อนความน่ากลัวไว้ในความท้าทาย จนทำให้มีคนสังเวยชีวิตแล้วหลายศพ ขณะที่ชาวบ้านลืออาถรรพ์ พบเหยื่อล้วนจมน้ำวันพระใหญ่
วันที่ 15 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่ามกลางความโศกเศร้าของญาติพี่น้อง ตลอดจนชาวบ้านแพะขวาง หมู่ 3 ต.น้ำแพร่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ที่รู้ข่าวคราวของ “ซอย แทกู” นักศึกษาหนุ่มเกาหลี วัย 21 ปี ผู้ต้องมาสังเวยชีวิตในบ่อดินเก่า ที่มีน้ำขังอยู่เต็มพื้นที่กว่า 30 ไร่ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “แกรนด์แคนยอนหางดง” หลังแวะลงเล่นน้ำเมื่อวันอาสาฬหบูชา 11 ก.ค.ที่ผ่านมา แล้วโชคร้ายร่างจมลงสู่ก้นบ่อ
จากนั้นทีมกู้ภัย นักประดาน้ำจากหลายองค์กร ต่างพยายามดำค้นหาร่างของหนุ่มกิมจิโชคร้ายรายนี้อย่างเต็มที่ จนผ่านไปเกือบ 4 วันเต็มๆ แต่ก็พบอุปสรรค เพราะระดับน้ำที่ลึก และมีช่องแคบเป็นรูปกรวยใต้บ่อ จนเจ้าของพื้นที่ต้องเชิญพระสงฆ์เกจิดังมาทำพิธีตามแบบล้านนา เพื่อสูตรถอนดวงวิญญาณ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ศพลอยขึ้นมา
กระทั่งเช้าวันที่ 14 ก.ค.57 การค้นหาตลอด 4 วัน ก็ได้ยุติลง เมื่อศพ “ชอย แทกู” ลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ ซึ่งภาพที่ปรากฏทำให้ญาติผู้เสียชีวิตถึงกับร้องไห้โฮรับไม่ได้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หลังเกิดเหตุ เรื่องราวของ “แกรนด์แคนยอนหางดง” ถูกพูดถึงในสังคมวงกว้างอีกครั้ง เพราะ “ชอย แทกู” ไม่ได้เป็นรายแรกที่ต้องสังเวยชีวิตในบ่อดินเก่า หรือแคนยอนแห่งนี้
“แกรนด์แคนยอนหางดง ” แห่งนี้ เดิมคือ บ่อดินเก่าที่ขุดหน้าดินขายไป เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ของนายฉัตรกรินทร์ ตระกูลอินสัน กำนันตำบลน้ำแพร่ จนล่วงเลยมาเป็นเวลานานเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ บางจุดลึกถึง 50 เมตร น้ำภายในแอ่งดังกล่าวสีเขียวใสเหมือนสีของมรกต ประกอบกับมีคันดินเป็นหน้าผาสูงกว่า 20 เมตร ลดหลั่นกันไปหลายแห่ง ทำให้ดูเหมือนกับแกรนด์แคนยอน (Grand Canyon) รัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำตามธรรมชาติ
ก่อนหน้านี้ เรื่องราวความสวยงามของพื้นที่ดังกล่าวยังไม่เป็นที่แพร่หลาย กระทั่ง 24 พ.ค.56 ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา ได้เกิดเหตุเด็กวัยรุ่นลงเล่นน้ำในแคนยอน แล้วเกิดจมหายไป 2 คน
คราวนั้นเจ้าหน้าที่ประดาน้ำกู้ภัยพิงค์นคร เทศบาลนครเชียงใหม่ นำทีมชุดประดาน้ำออกสำรวจหาศพ เนื่องจากเป็นพื้นที่กว้าง และน้ำมีลักษณะลึกกว่า 20 เมตร จึงต้องวางแผนนำเรือ และเจ้าหน้าที่ประดาน้ำนับ 10 คน ลงดำค้นหา ใช้เวลานานเกือบ 2 ชั่วโมง จึงค้นพบศพผู้เสียชีวิตทั้งสอง ท่ามกลางความโศกเศร้าของญาติพี่น้อง และผู้ที่พบเห็น
ผู้เสียชีวิตทั้งสองคน ทราบชื่อภายหลัง คือ นายชาญชัย หรือบุ๊กบิ๊ก ศุภเลิศ อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เอกศิลป์-ดนตรี โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย และนายศักรินทร์ หรือปอน บุญพรประเสริฐ อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ปวช.ปี 3 โรงเรียนอาชีวศึกษาเชียงใหม่
ภายหลังจากเกิดเหตุ สื่อโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุทั้งน้อยใหญ่ทุกสำนักต่างนำเสนอข่าวเหตุสลดที่เกิดขึ้น และแชร์เรื่องราวที่เกิดขึ้น รวมถึงความงดงามของแกรนด์แคนยอนผ่านโลกออนไลน์กันอย่างแพร่หลาย
อย่างไรก็ตาม เหรียญย่อมมีสองด้าน ดาบย่อมมีสองคม ข่าวดังกล่าวเหมือนกันเป็นการโปรโมตให้ผู้ที่ไม่เคยเห็นแคนยอนอยากมาสัมผัสความงดงามของพื้นที่ดังกล่าวกันจำนวนมาก ทำให้บ่อดินเก่าแห่งนี้ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นมา โดยมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย-ต่างประเทศ อยากมาลองว่ายน้ำ หรือกระโดดหน้าผาดูสักครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มที่ชอบความผาดโผนแนวแอดเวนเจอร์ ทั้งพายเรือ กระโดดหน้าผา ทำให้พวกเขาลืมเรื่องราวความน่ากลัวของบ่อดินแห่งนี้ไปจนสิ้น
และนั่นทำให้เกิดเรื่องเศร้าแก่ “ชอย แทกู” หนุ่มนักศึกษาแดนกิมจิ ขึ้นมาอีกครั้ง
รวมทั้งล่าสุด เริ่มมีการตั้งข้อสังเกตระคนแปลกใจขึ้นด้วยว่า เหตุเศร้าสลดในบ่อดินเก่า หรือแกรนด์แคนยอนหางดง ที่เกิดขึ้นซ้ำซากนั้น ต่างเกิดในวันพระใหญ่ และเหยื่อที่ต้องสังเวยชีวิต ต่างกำลังจะมุ่งหน้าไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนเช่นเดียวกัน
เหยื่อ 2 รายแรก จมน้ำเสียชีวิตในวันวิสาขบูชา ขณะที่หนุ่มเกาหลี เหยื่อรายล่าสุด เกิดเหตุในวันอาสาฬหบูชา
นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือหนาหูอีกว่า ก่อนหน้านี้ก็มีคนเสียชีวิตในบ่อดิน หรือแกรนด์แคนยอน แห่งนี้แล้วหลายราย แต่ไม่ปรากฏเป็นข่าวด้วย
ก่อนที่ นายศักดิ์ชัย คุณานุวัฒน์ชัยเดช นายอำเภอหางดง จ.เชียงใหม่ จะออกมากล่าวถึงมาตรการป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าวแล้วเกิดเหตุจมน้ำซ้ำอีก ว่า จะให้เจ้าของพื้นที่ล้อมรั้วเพื่อไม่ให้คนนอกเข้ามาได้อีก
นายศักดิ์ชัย บอกด้วยว่า ที่จริงโดยปกติแล้วทางเจ้าของพื้นที่เองก็มีการทำป้ายว่า “อันตรายห้ามลงเล่น” ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษติดตั้งไว้แล้วหลายจุด แต่ครั้งนี้จะได้ให้ล้อมรั้ว เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก พร้อมจะประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเจ้าของพื้นที่ ให้จัดเจ้าหน้าที่เวรยาม และชุด ชรบ.หมู่บ้าน มาดูแลพื้นที่ดังกล่าวด้วย นอกจากจะให้เจ้าของพื้นที่ป้องกันเองอยู่ก่อนแล้ว
และหลังจากล้อมรั้วรอบ “แกรนด์แคนยอนหางดง” ครั้งนี้แล้ว ยังมีคนกล้าเข้าไปสัมผัสความสวยงาม ท้าทายธรรมชาติ และความกล้าบ้าบิ่น ณ ที่แห่งนี้อีก และต้องสังเวยเป็นรายต่อไป คงได้เป็นเรื่องเล่าขานกันขึ้นมาอีกแน่ … ไม่เชื่อก็ต้องคอยติดตามกันดูต่อไป