ดังนั้นอย่าจำสับสนกันระหว่าง ไอ้ด่างเกยชัย กับ ไอ้ด่างคลองบางมุด เพราะ เจ้าจระเข้สองตัวนี้แม้จะชื่อเรียกว่าไอ้ด่างเหมือนกันแต่พวกมันมีชื่อเสียง กันคนละยุคสมัย ไอ้ด่างเกยชัยนั้นถือว่าเป็นจระเข้กินคนรุ่นพี่เพราะมีเรื่องราวและ ประวัติการปรากฏตัวอาละวาดกินคนที่แม่น้ำน่าน ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 บ้านเกยชัย จ.นครสวรรค์ (ปัจจุบันคือ ต.เกยไชย อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์) สำหรับชื่อหรือฉายาของไอ้ด่างเกยชัยนั้นเพราะปลายจมูกมันมีดวงด่างสีขาวเป็น จุดเด่น แต่ไอ้ด่างเกยชัยก็สิ้นชีพด้วยหอกของหมอจระเข้ 2 คน และหัวของมันถูกตัดเก็บไว้ ว่ากันว่ามีความใหญ่ถึงขนาดหัวถึงหางสามารถนอนขวางลำน้ำจากฝั่งหนึ่งถึงอีก ฝั่งหนึ่งได้ ถ้าเป็นเรื่องจริงดังบันทึกก็หมายความว่าไอ้ด่างเกยชัยมีขนาดความยาวลำตัว ยาวถึง 9-10 เมตรเลยทีเดียว แต่ น่าเสียดายที่เรื่องราวของไอ้ด่างเกยชัยซึ่งมีบันทึกอยู่ใสมุดบันทึกของกรม พระยาดำรงราชานุภาพเมื่อคราวที่ท่านเสด็จไปตรวจราชการที่เมืองเหนือได้ บันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวของไอ้ด่างเกยชัยไว้เพียงสั้นๆแค่ 2 บรรทัดมีใจความว่า ที่มีศีรษะของจระเข้ใหญ่ เป็นจระเข้กินคน ชาวบ้านเล่าลือกันว่าเป็นจระเข้เจ้า มีพระยาคนหนึ่งได้นำเอาศีรษะจระเข้นี้เข้ากรุงเทพฯ และได้ขายต่อให้ชาวต่างชาติไป เป็นอันจบกันสำหรับเรื่องราวของศีรษะจระเข้ใหญ่ สำหรับบันทึกของกรมพระยาดำรงราชานุภาพของท่านตอนนี้สามารถสืบค้นได้ที่หอ สมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี
แต่ เรื่องราวของไอ้ด่างเกยชัยมักจะมีคนจำสับสนกับไอ้ด่างคลองบางมุด จระเข้น้ำเค็มมีขนาดลำตัวยาวกว่า 5 เมตร และเคยอาละวาดกินคนเช่นเดียวกันแต่คนละสถานที่ เพราะไอ้ด่างตัวที่สองนี้อาละวาดกินผู้คนที่คลองบางมุด อ.หลังสวน จ.ชุมพร เมื่อปี พ.ศ. 2507 ซึ่งเรื่องราวของไอ้ด่างคลองบางมุดนี้โด่งดังจนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ไทย ถึง 2 ครั้งเลยทีเดียว โดยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2531 ใช้ชื่อว่า " ไอ้ด่างเกยชัย " นำแสดงโดย บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ และ สรารัตน์ หรุ่มเรืองวงศ์ ครั้งที่สองในปี 2548 ใช้ชื่อว่า " โคตรเพชฌฆาต " นำแสดงโดย ชาติชาย งามสรรพ์ และ จิรภัทร์ วงศ์ไพศาลลักษณ์ กำกับโดย อนัตย วงเงิน ส่วนไอ้ด่างคลองบางมุดนี่ปรากฏเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ในปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2507 เป็นเรื่องราวชวนสยองขวัญเกี่ยวกับจระเข้ยักษ์กินคน และไอ้ด่างตัวที่สองนี่ล่ะที่มีเรื่องราวที่บันทึกไว้เป็นหลักฐานข้อมูลค่อน ข้างชัดเจนรวมถึงมีภาพข่าวตามสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆในยุคสมัยนั้นเราลองมาทำ ความรู้จักกับไอ้ด่างจระเข้กินคนตัวนี้กันดีกว่า
ย้อน กลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2507 ปลายเดือนตุลาคม ได้ปรากฏข่าวที่สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับผู้คนในยุคสมัยนั้น โดยเฉพาะชาวคลองบางมุด บ้านหนองไก่ปิ้ง ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร เกี่ยวกับจระเข้ที่ออกอาละวาดกินคนไปหลายคน และเริ่มเป็นข่าวสะเทือนขวัญยิ่งขึ้น เมื่อนายอุดม ชาวบ้าน ต.นาขา ลงไปอาบน้ำในคลองถูกจระเข้คาบไปกินต่อหน้าต่อตาชาวบ้านนับสิบ และอีก 2-3 วันต่อมาก็ถึงคิวของนายอิน ชาวเขมร บ้านเดิมอยู่ จ.ตราด มาตั้งรกรากที่คลองบางมุดได้นำเรือเล็กไปตัดจากเพื่อนำมามุงหลังคาบ้าน ขณะยืนตัดกิ่งจากอยู่ในเรือ จระเข้ยักษ์ก็พุ่งตัวขึ้นมาบนเรือคาบขานายอิน ตกลงไปในน้ำ แม้นายอินจะพยายามดิ้นและเกาะแคมเรือร้องเรียกให้ภรรยาซึ่งอยู่บนฝั่งช่วย เธอก็พยายามกระพุ่มน้ำและส่งเสียงไล่แต่ไม่เป็นผลจระเข้ยักษ์ได้คาบนายอินลง ไปใต้ท้องน้ำต่อหน้าต่อตา รุ่งขึ้นศพนายอินลอยขึ้นมาพบว่าถูกกินเฉพาะส่วนท้องเช่นเดียวกับนายอุดม นับจากนั้นการไล่ล่าเริ่มขึ้นจระเข้กินคนก็เริ่มขึ้น โดยทีมแรกเป็นกลุ่มของ ส.ต.อ.บุญโชติ และครูสมพงษ์ ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายอินถึงกับลาราชการเพื่อออกล่าจระเข้ล้างแค้นแทนเพื่อน โดยร่วมกับนายแดง เจ้าของโรงสีแต่การล่าไม่ประสบความสำเร็จแถมนายแดงเกือบต้องเอาชีวิตมาทิ้ง ด้วยคมเขี้ยวของจระเข้ยักษ์ เมื่อเรือของนายแดงที่ทำหน้าที่คัดท้ายเรือพลิกคว่ำก็โดนจระเข้เข้าโจนตี แต่รอดมาได้เพราะทีมไล่ล่าระดมยิงปืนเข้าใส่จระเข้ที่กำลังจะพุ่งเข้าหานาย แดงที่กำลังลอยคออยู่ในน้ำ เพราะจระเข้โผล่ขึ้นมาจนเห็นได้ชัดเจนว่าามันมีสีดำทั้งส่วนลำตัวและส่วนหัว ยกเว้นที่คอเท่านั้นที่มีสีขาวคาดอยู่รอบลำคอ จึงเป็นที่มาของชื่อ " ไอ้ด่าง " นั่นเอง
จาก เหตุการณ์ในวันนั้นข่าวของไอ้ด่างจระเข้ยักษ์กินคนก็โด่งดัง จึงมีคำสั่งให้ตำรวจหน่วยพลร่ม "เสือดำ" 2 นาย จากค่ายนเรศวรหัวหินร่วมกับชาวบ้านและคณะของ ส.ต.อ.บุญโชติ โดยการตีวงโอบล้อมตั้งแต่ปากอ่าวตะโกและจากคลองบางมุดเข้าหากัน การติดตามค้นหาตั้งแต่เช้าจนกระทั่งตอนเย็นไอ้ด่างก็ปรากฏตัวขึ้นเรือของ ส.ต.อ.บุญโชติและครูสมพงษ์ซึ่งพบเห็นจึงได้บอกให้คนคัดท้ายเรือชื่อนายหนึด เร่งพายเข้าไปใกล้ๆเพื่อจะได้ยิงในระยะหวังผล แต่นายหนึดกลับกลัวจนพายเรือไม่ได้ทำให้พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดายแต่ในวัน รุ่งขึ้นชาวบ้านสองคนก็ผวากับไอ้ด่างอีกครั้ง เมื่อมันโผล่มาระหว่างเรือทั้งสองลำของชาวบ้าน และเรื่องนี้ทำให้ครูสมพงษ์ได้อาสาออกไปนั่งห้างพร้อมกับปืนไรเฟิล โดยใช้สุนัขผูกไว้บนแพเพื่อล่อไอ้ด่าง เช่นเดียวกับชุดไล่ล่าของตำรวจซึ่งก็คว้าน้ำเหลว นอกจากนั้นยังมีชายคนหนึ่งชื่อนายหะหมัด อายุ 65 ปี ชาว ต.เขาสง อ.ท่าชนะ เป็นพรานจระะเข้ใช้วิธีลุยเดี่ยวลงเรือเล็กไปล่าไอ้ด่าง โดยพรานจระเข้รายนี้บอกว่าเขาเคยล่าจระเข้ด้วยหอกประจำตัวมาแล้วถึง 15 ตัว แต่แม้จะมีการออกไล่ล่าไอ้ด่างทุกวันแต่ก็ไม่มีใครสามารถล่าจระเข้กินคนตัว นี้ได้ จนเวลาล่วงเลยมาถึงวันที่ 1 กันยายน ทำให้ชื่อเสียงของไอ้ด่างคลองบางมุดเข้าไปเกาะกุมสร้างความหวาดผวาให้กับผู้ คนทั่วประเทศ ความโด่งดังของมันถึงขนาดมีคณะถ่ายทำภาพยนตร์ไล่ตามพรานจระเข้เพื่อถ่ายทำ เป็นภาพยนตร์สารคดีไปทุกระยะเตรียมส่งฉายทั่วโลก โทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม ปัจจุบันคือช่อง 9 อสมท. ก็ทำสารคดี " สองฟากทางรถไฟ " แพร่ภาพเรื่องของ " ไอ้ด่าง " ฉายออกทั่วประเทศ
เรื่องมันยาวมากขอรวบรัดเอาตอนจระเข้โดนจับเลยก็แล้วกัน
การ ไล่ล่าไอ้ด่างครั้งใหญ่จบลงด้วยความล้มเหลว ซึ่งหลายคนคาดว่าเป็นเพราะก่อนหน้านั้นมีการไล่ล่าอยู่หลายครั้งรวมถึงช่วง นั้นระดับน้ำขึ้นสูงและมีน้ำเหนือไหลบ่าทำให้น้ำเชี่ยวกรากจระเข้น้อยใหญ่ ถูกรบกวนจึงย้ายถิ่นหนีไปอยู่ที่อื่น จากเหตุดังกล่าวทำให้พักการออกล่าจระเข้ยักษ์ไว้ชั่วคราวจนกว่าน้ำจะลดลงสู่ ระดับปกติ
แต่ หลังจากนั้นไม่นานในวันที่ 18 พฤศจิกายน บริเวณคลองเขาปีบเขตติดต่อระหว่าง อ.หลังสวน กับ อ.สวี ไอ้ด่างก็ปรากฏตัวอีกครั้ง โดยครั้งนี้มันคาบเอานายช้วน พิมาน ชาวบ้านในคลองเขาปีบแล้วดำหายลงไปในคลองนั่นเอง ทำให้ชาวบ้านในคลองเขาปีบไม่มีใครกล้าพายเรือในคลองนี้ และเรื่องของนายช้วนทำให้ ส.อ.ห้วง พิมาน กับ ส.อ.จำนง พิมาน ญาติของนายช้วนซึ่งเป็นทหารประจำค่ายทหารบกชุมพรไปรายงานผู้บังคับบัญชาขอลา และขออนุมัติตามล่าจระเข้ยักษ์โดยใช้อาวุธ ซึ่งผู้บังคับบัญชามีคำสั่งอนุญาต ในการออกเดินทางครั้งนี้นอกจาก ส.อ.ห้วง พิมาน และ ส.อ.จำนง พิมาน แล้วได้มีผู้ร่วมเดินทางไปปราบจระเข้ยักษ์อีก 4 คน คือ ร.ท.ลิขิต จันทโรทัย, ร.ท.มาโนช เขียนยาคำ, ส.อ.ละออ นาคจิตติ ขณะที่คณะล่าจระเข้ไปถึงได้พบว่าชาวบ้านประมาณ 100 กว่าคนพร้อมด้วยอาวุธปืนและฉมวกกำลังค้นหาจระเข้ยักษ์และศพนายช้วน ตีแนวขนานทั้งสอง ซึ่งในที่สุดได้ค้นพบศพนายช้วน อยู่ใต้รากไม้ริมตลิ่ง ถูกไอ้ด่างจระเข้ยักษ์ลากไปขัดไว้ และไม่มีทางที่จะดึงออกมาได้ ต้องให้นักประดาน้ำดำลงไปใช้เชือกผูกศพแล้วใช้คนกว่า 20 คนช่วยกันดึงจึงลากศพนายช้วนออกมาได้ ปรากฏว่าศพนายช้วนมีสภาพที่แหลกเหลวไม่มีชิ้นดี จาก แหล่งที่พบศพของนายช้วนทำให้คณะที่ติดตามไล่ล่าไอ้ด่างรู้ว่ามันอยู่ใน บริเวณนั้น ส.อ.ห้วง ได้ใช้ระเบิดลงไปในบริเวณที่เป็นแหล่งกบดานของไอ้ด่าง โดยระเบิดลูกที่สองทำให้ไอ้ด่างต้องออกมาจากที่ซ่อนใต้น้ำของมัน และรีบว่ายน้ำหนีแต่ก็ไปไม่รอดเมื่อระเบิดลูกที่สามโดนขว้างเข้าใส่ เป็นการปิดฉากความโหดร้ายของจระเข้ยักษ์กินคน " ไอ้ด่างคลองบางมุด "
จาก การวัดซากของไอ้ด่างมีความยาวจากหัวถึงหาง 4.25 เมตร รอบตัว 1.75 เมตร จากหัวถึงคอ 25 นิ้ว อ้าปากกว้าง 20 นิ้ว และเป็นจระเข้ตัวเมียเพราะก้อนขี้หมาบนจมูกของมันนูนโผล่ขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นชำแหละซากไอ้ด่างเพื่อทำสต๊าฟไว้ เมื่อผ่าลงไปในท้องก็พบกระดูกในท้องไอ้ด่างมากมาย และยืนยันได้ว่ากินคนแน่
หลังจากผ่าชำแหละแล้วได้พบบาดแผลที่เห็นได้อย่างชัดเจนในซาก " ไอ้ด่าง " ดังนี้
ขา หน้าด้านขวาถูกกระสุนปืนลูกโดดฝังในด้านซ้ายของลำตัว เนื้อเละไปทั้งแถบ ด้านคอขวาเป็นรูเน่าซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ไอ้ด่างพบจุดจบ ส่วนสันหลังบริเวณกว้างยาว 1 ศอกยุ่ยเป็นรอยไหม้ ซี่โครงหักหลายซี่เพราะถูกแรงระเบิด โดยเฉพาะเมื่อผ่าแหวะกระเพาะของไอ้ด่างทำให้นายบุญถึงและเจ้าหน้าที่ 10 กว่าคนต้องตะลึงเมื่อพบว่า นอกจากเศษอิฐ เศษหินแล้วยังพบกระโหลกมนุษย์ถึง 2 หัว ยังอยู่ในสภาพมีเศษผมติดบนหนังศีรษะอยู่ นอกจากนี้ยังพบกระดูกส่วนขากับสะบ้าจากเข่าคน และนอกจากนั้นยังมีตะขอเหล็กขนาดใหญ่อีกหนึ่งตัวด้วย
และ จากการพบส่วนกระโหลกศีรษะมนุษย์ทั้ง 2 หัวจากท้องของจระเข้ยักษ์ตัวนี้ เป็นการยืนยันได้ชัดเจนว่ามันคือไอ้ด่างอย่างแน่นอน และนอกจากนั้นยังเป็นบทพิสูจน์ได้ด้วยว่าไอ้ด่างเคยกินคนมาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะศพที่มันกินครั้งหลังสุดที่เป็นข่าว 6 คน มันกินเฉพาะส่วนท้องเท่านั้น
สำหรับ ซากของไอ้ด่าง มีการถูกซื้อขายกันไปหลายครั้งเพื่อนำไปแสดงโชว์ ซึ่งทุกครั้งก็ได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นจำนวนมาก โดยครั้งสุดท้ายถูกขายไปในราคา 23,000 บาท ให้กับนายไห้ แซ่เซ็ง
แม้วันเวลาจะผ่านมาเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว ตำนานความโหดร้ายของ " ไอ้ด่างคลองบางมุด " ยัง คงเป็นที่จดจำของคนไทยอีกหลายคน และในช่วงน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมาก็ยังถือว่าโชคดีที่ไม่มีไอ้ด่างตัวที่ 3 ออกมาสร้างความสยดสยองให้กับคนไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก one55| Bigza